
Metaverse, VR, AR: สรุปปลายปี 2025 มันคืออนาคต…หรือแค่ของเล่นเศรษฐี?
ผมยังจำบรรยากาศเมื่อประมาณปี 2021-2022 ได้ดี ตอนนั้นไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ได้ยินแต่คำว่า “Metaverse” กันทั้งนั้น มันดูเหมือนเป็น “คลื่นลูกต่อไป” ของอินเทอร์เน็ต ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตเราไปตลอดกาล บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทุ่มเงินลงทุนมหาศาล ที่ดินดิจิทัลถูกซื้อขายกันในราคาหลายล้านบาท มันเป็นยุคแห่งความตื่นเต้นและความคาดหวังที่สูงลิ่วจริงๆ ครับ
ในฐานะ Developer และเมกเกอร์ที่ชอบทดลองของใหม่ ผมเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน ผมซื้อแว่น VR มาลองเล่น, เข้าไปเดินเล่นในโลกเสมือนต่างๆ, และถึงขั้นลองเขียนโค้ดสร้างวัตถุง่ายๆ ในนั้นดูด้วย มันให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังค้นพบ “ทวีปใหม่” ที่ยังไม่มีใครเคยไปถึง
แต่พอกาลเวลาผ่านไปจนถึงปลายปี 2025 ที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้… กระแสที่เคยร้อนแรงเหมือนไฟป่า ก็ดูเหมือนจะเหลือเพียงควันที่คุกรุ่นอยู่เบาๆ คำถามที่หลายคน (รวมถึงตัวผมเอง) กำลังสงสัยก็คือ “ตกลงแล้ว Metaverse มันไปถึงไหน? มันคืออนาคตจริงๆ หรือเป็นแค่ของเล่นราคาแพงที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป?”
วันนี้ผมเลยอยากจะชวนคุณมาสำรวจ “ทวีปใหม่” นี้กันอีกครั้ง ด้วยสายตาที่เป็นจริงมากขึ้น เราจะมาดูกันแบบไม่อวยไม่แซะ ว่าเทคโนโลยี VR (Virtual Reality) และ AR (Augmented Reality) ที่เป็นหัวใจของ Metaverse นั้น มีสถานะเป็นอย่างไรในปัจจุบัน และมันเริ่มมีประโยชน์จริงๆ แล้วหรือยัง
Table of Contents
แยกให้ออกก่อน: VR, AR, และ Metaverse ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
ก่อนจะไปกันต่อ ผมว่าเรามาตั้งหลักปักฐานทำความเข้าใจคำศัพท์พวกนี้ให้ตรงกันก่อนดีกว่าครับ เพราะหลายคนยังใช้ปนกันอยู่
- Virtual Reality (VR): ให้คุณนึกถึงการ “สวมหมวกกันน็อกดิจิทัล” ครับ VR คือการใช้แว่นครอบศีรษะ (Headset) เพื่อพาเรา “เข้าไปอยู่ใน” โลกดิจิทัลอีกใบหนึ่งแบบ 100% เราจะมองไม่เห็นโลกแห่งความจริงรอบตัวเลย แต่จะเข้าไปอยู่ในเกม, ห้องประชุมเสมือน, หรือสถานที่จำลองต่างๆ แทน
- Augmented Reality (AR): นี่คือการ “ซ้อนทับ” โลกดิจิทัลลงบนโลกแห่งความจริงครับ เราจะมองเห็นสภาพแวดล้อมจริงๆ รอบตัวเราผ่านหน้าจอมือถือหรือแว่นตาพิเศษ แต่จะมีวัตถุหรือข้อมูลดิจิทัลปรากฏขึ้นมาซ้อนอยู่ด้วย ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือเกม Pokémon GO หรือฟิลเตอร์ใน Instagram นั่นแหละครับ
- Metaverse: นี่คือ “แนวคิด” หรือ “วิสัยทัศน์” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครับ มันคือภาพอนาคตที่ VR และ AR ถูกรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็น “อินเทอร์เน็ตในรูปแบบ 3 มิติ” ที่คงอยู่ตลอดเวลา ผู้คนสามารถเข้าไปทำงาน, เรียนหนังสือ, ซื้อของ, และใช้ชีวิตในนั้นได้อย่างต่อเนื่อง… ซึ่งต้องบอกตามตรงว่า ณ วันนี้ เรายังอยู่ห่างไกลจากภาพนั้นพอสมควรครับ
สถานะปัจจุบันของ VR/AR: คลื่นลมสงบลง แต่เรือกำลังแข็งแรงขึ้น
ถ้าเปรียบ Metaverse เป็นพายุลูกใหญ่ ช่วงปี 2021-2022 คือช่วงที่พายุเข้าฝั่งพอดี ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นและน่ากลัวไปหมด แต่ ณ ปลายปี 2025 นี้ คือช่วงที่พายุได้ผ่านพ้นไปแล้ว และทิ้งให้เราเห็นภาพความเป็นจริงที่ชัดเจนขึ้น
จากรายงานของ IDC (International Data Corporation) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดเทคโนโลยีชั้นนำ ยอดขายของแว่น VR/AR ทั่วโลกอาจจะไม่ได้พุ่งทะยานเหมือนที่หลายคนคาดการณ์ไว้ในช่วงแรก แต่มันก็เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและมั่นคง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้งานเฉพาะทางและภาคธุรกิจ
ผมขอเปรียบเทียบว่ามันเหมือนกับเทคโนโลยี “3D Printer” ในโรงไม้ของผมเลยครับ ตอนที่มันออกมาใหม่ๆ ทุกคนก็ตื่นเต้นว่า “ต่อไปนี้ทุกบ้านจะมีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ!” แต่ในความเป็นจริง มันไม่ได้กลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าสามัญประจำบ้านเหมือนไมโครเวฟ แต่มันได้กลายเป็น “เครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่ง” สำหรับกลุ่มคนเฉพาะทาง เช่น วิศวกร, สถาปนิก, นักออกแบบ, และแน่นอน…เมกเกอร์อย่างผมนี่แหละ
VR/AR ก็กำลังเดินไปในเส้นทางเดียวกันครับ มันอาจจะยังไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนต้องใช้ทุกวัน แต่สำหรับบางอุตสาหกรรม มันได้กลายเป็น “Game Changer” ไปแล้วจริงๆ
กรณีศึกษา: VR/AR เริ่ม “มีประโยชน์จริงๆ” แล้วที่ไหนบ้าง?
แทนที่จะมองภาพใหญ่ที่ยังมาไม่ถึง ผมอยากจะชวนคุณมาดู “โปรเจกต์” ที่จับต้องได้จริง ที่เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังถูกนำมาใช้อย่างน่าทึ่งกันดีกว่าครับ
1. ใน “โรงพยาบาล” และ “ห้องเรียนแพทย์” นี่คือวงการที่ได้รับประโยชน์จาก VR มากที่สุดวงการหนึ่งเลยครับ ศัลยแพทย์ฝึกหัดสามารถใช้ VR ในการ “ซ้อมผ่าตัด” เคสที่ซับซ้อนได้นับครั้งไม่ถ้วนโดยไม่มีความเสี่ยงต่อคนไข้จริง นักเรียนแพทย์สามารถสำรวจร่างกายมนุษย์ในรูปแบบ 3 มิติได้อย่างละเอียดในแบบที่ตำราเรียนไม่เคยทำได้มาก่อน
2. ใน “โรงงาน” และ “ศูนย์ฝึกอบรม” การฝึกอบรมพนักงานให้ซ่อมบำรุงเครื่องจักรราคาหลายสิบล้านบาทมีความเสี่ยงสูงมาก แต่ด้วย VR บริษัทต่างๆ สามารถสร้าง “เครื่องจักรเสมือน” ให้พนักงานได้เรียนรู้และลองผิดลองถูกได้อย่างเต็มที่ ส่วน AR ก็ถูกนำมาใช้ในรูปแบบของ “แว่นตาอัจฉริยะ” ที่ช่างเทคนิคในภาคสนามสามารถมองเห็น “คู่มือซ่อม” หรือ “แบบแปลน” ซ้อนทับอยู่บนเครื่องจักรจริงได้เลย ทำให้ทำงานได้เร็วและแม่นยำขึ้นมาก
3. ใน “ห้องออกแบบ” ของสถาปนิกและวิศวกร สมัยก่อนการจะดูแบบแปลนอาคาร 3 มิติที่ดีที่สุดคือการสร้างโมเดลกระดาษราคาแพง แต่ตอนนี้สถาปนิกสามารถให้ลูกค้า “เดินเข้าไป” ในอาคารที่ยังไม่ได้สร้างได้ผ่านแว่น VR ทำให้สามารถปรับแก้แบบและเห็นภาพตรงกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ วิศวกรยานยนต์ก็ใช้ VR ในการออกแบบและทดสอบรถยนต์ต้นแบบ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนาได้อย่างมหาศาล
4. ใน “เกม” และ “ความบันเทิง” (แน่นอนว่านี่คือตลาดหลัก) ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ VR ก็ยังคงเป็นวงการเกมครับ ประสบการณ์การเล่นเกมใน VR นั้นให้ความรู้สึก “สมจริง” และ “ดำดิ่ง” ในระดับที่หน้าจอธรรมดาให้ไม่ได้จริงๆ นอกจากเกมแล้ว ก็ยังมีการนำไปใช้กับการชมคอนเสิร์ตเสมือนจริง หรือการท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกจากที่บ้าน
แล้วทำไมมันถึงยังไม่ “แมส” สักที? ความท้าทายที่ยังคงอยู่
แม้จะมีประโยชน์ในหลายๆ ด้าน แต่ก็ยังมี “กำแพง” ใหญ่ๆ หลายอย่างที่ทำให้เทคโนโลยีนี้ยังไม่สามารถเข้าไปอยู่ในทุกบ้านได้ครับ
- ราคาและความซับซ้อนของอุปกรณ์: แม้ว่าราคาของแว่น VR จะถูกลงมากแล้ว แต่ก็ยังถือว่าเป็นอุปกรณ์ราคาสูงสำหรับคนทั่วไป และการตั้งค่าใช้งานก็ยังไม่ “ง่าย” เหมือนการเปิดทีวี
- อาการ “เมา VR” (Motion Sickness): ผู้ใช้งานจำนวนไม่น้อยยังมีอาการเวียนศีรษะเมื่อใช้งานเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นปัญหาทางเทคนิคที่ยังต้องแก้ไขกันต่อไป
- การขาด “Killer App” สำหรับคนทั่วไป: นอกจากเกมแล้ว VR/AR ยังไม่มีแอปพลิเคชัน “ที่ทุกคนต้องใช้” เหมือนที่ Facebook หรือ LINE เป็นสำหรับสมาร์ทโฟน
- ความโดดเดี่ยว (Isolation): การสวมแว่น VR นั้นตัดขาดเราจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ซึ่งอาจไม่เหมาะกับกิจกรรมในครอบครัวหรือการใช้งานในชีวิตประจำวัน
บทสรุป: มันคือ “อนาคต”…แต่เป็นอนาคตที่กำลังค่อยๆ สร้าง ไม่ใช่การปฏิวัติชั่วข้ามคืน
กลับมาที่คำถามหลักของเรา: Metaverse คืออนาคต หรือแค่ของเล่นเศรษฐี?
คำตอบของผมในฐานะคนที่ได้ลองสัมผัสและคลุกคลีกับมันก็คือ “มันคืออนาคต…แต่เป็นอนาคตที่จะค่อยๆ ซึมซับเข้ามาในชีวิตเราอย่างช้าๆ ไม่ใช่การปฏิวัติแบบพลิกฝ่ามือ”
อย่าเพิ่งคาดหวังว่าเราจะได้ใช้ชีวิตในโลกเสมือนแบบในหนังเรื่อง Ready Player One ในเร็วๆ นี้ครับ แต่มองมันเหมือน “เครื่องมือชิ้นใหม่” ในโรงไม้ของเราจะดีกว่า…มันอาจจะไม่ใช่เครื่องมือที่เราหยิบมาใช้ทุกวัน แต่สำหรับ “โปรเจกต์” ที่เหมาะสม มันคือเครื่องมือที่จะเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่เราไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน
สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับผมในตอนนี้ ไม่ใช่ Metaverse ที่ยิ่งใหญ่ แต่คือการได้เห็นว่าคนในวงการต่างๆ กำลังนำ “ชิ้นส่วน” ของเทคโนโลยีนี้อย่าง VR และ AR ไปปรับใช้แก้ปัญหาในโลกแห่งความจริงได้อย่างสร้างสรรค์และน่าทึ่งครับ