
AI จะมาแย่งงานจริงไหม? คุยกันแบบไม่กลัว ไม่เพ้อฝัน ในมุมมองของ Developer
ในโรงไม้ของผมเมื่อหลายปีก่อน การจะทำชิ้นส่วนไม้โค้งๆ สวยๆ สักชิ้น ผมต้องใช้เวลาเป็นวันๆ ทั้งร่างแบบ, ใช้เลื่อยฉลุค่อยๆ เลื่อยตามเส้น, แล้วก็ใช้กระดาษทรายขัดเก็บรายละเอียดจนมือแทบพัง แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อน ผมได้ลงทุนกับเครื่อง CNC (เครื่องแกะสลักไม้ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์) ตอนนี้ผมแค่เขียนแบบในคอมพิวเตอร์ กดปุ่ม…แล้วเครื่องจักรก็จะแกะสลักชิ้นส่วนที่สมบูรณ์แบบชิ้นนั้นออกมาในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
วันหนึ่งขณะที่เครื่อง CNC กำลังทำงานส่งเสียงหึ่งๆ ลูกชายผมที่ยืนดูอยู่ก็ถามขึ้นมาว่า “พ่อครับ…แล้วต่อไปเรายังต้องใช้ฝีมืออีกเหรอ ถ้าเครื่องมันทำเรื่องยากๆ ได้หมดแล้ว?”
ผมวางมือบนไหล่เขาแล้วนิ่งคิดไปพักใหญ่…คำถามของลูกชายผมในวันนั้น มันคือคำถามเดียวกับที่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ของผมหลายคนกำลังถามถึงเทคโนโลยีที่เรียกว่า “AI” ในวันนี้เลยครับ: “AI จะมาแย่งงานเราจริงไหม?”
ในฐานะ Developer ที่ทำงานกับ AI และในฐานะเมกเกอร์ที่ใช้เครื่องมืออัตโนมัติ ผมอยากจะชวนคุณมาคุยเรื่องนี้กันแบบเปิดอก ไม่มีคำตอบโลกสวย ไม่มีคำทำนายวันสิ้นโลก แต่เป็นการมองตามความเป็นจริงว่าเครื่องมือใหม่ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติชิ้นนี้…กำลังจะเปลี่ยน “วิธีการทำงาน” ของเราไปอย่างไร
คุยกันแบบคนทำของ: AI เก่งอะไร…และสะดุดตรงไหน (ณ ปลายปี 2025)
ก่อนจะกลัวว่ามันจะมาแย่งงาน เราต้องเข้าใจ “ธรรมชาติ” ของมันก่อนครับว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร ผมขอสรุปง่ายๆ จากมุมมองของคนที่เขียนโค้ดและใช้งานมันทุกวัน
สิ่งที่ AI (โดยเฉพาะ Generative AI) เก่งมาก:
- การสังเคราะห์และสรุปข้อมูล (Synthesis & Summarization): มันเหมือน “ผู้ช่วยฝึกหัด” ที่อ่านหนังสือมาแล้วทุกเล่มในโลก คุณสามารถโยนรายงานหนา 500 หน้าให้มัน แล้วสั่งให้มันสรุปใจความสำคัญเหลือแค่หน้าเดียวได้ในไม่กี่วินาที
- การจดจำและสร้างสรรค์ตามรูปแบบ (Pattern Recognition & Generation): มันเก่งมากในการมองหารูปแบบ (Pattern) ที่มีอยู่เดิม แล้วสร้างสิ่งใหม่ที่อิงตามรูปแบบนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งเพลงในสไตล์โมสาร์ท, การวาดภาพแบบแวนโก๊ะ, หรือการเขียนโค้ดตามแบบที่นักพัฒนาส่วนใหญ่เขียนกัน
- การทำงานซ้ำซาก (Repetitive Task Automation): งานอะไรก็ตามที่มีขั้นตอนชัดเจนและต้องทำซ้ำๆ เช่น การตอบอีเมลลูกค้าด้วยคำถามเดิมๆ, การจัดหมวดหมู่เอกสาร, หรือการตรวจหาข้อผิดพลาดในโค้ดเบื้องต้น AI ทำได้ดีกว่า, เร็วกว่า, และไม่เคยบ่นว่าเบื่อเลยครับ
แต่ในขณะเดียวกัน AI ก็มีจุดอ่อนสำคัญที่มันยัง “สะดุด” อยู่เสมอ:
- ไม่มีความเข้าใจในโลกแห่งความจริง (Lack of Common Sense): AI ไม่ “เข้าใจ” เนื้อหาที่มันประมวลผลจริงๆ มันแค่คำนวณความน่าจะเป็นทางสถิติว่าคำไหนควรจะต่อจากคำไหน มันไม่รู้หรอกว่าทำไมเก้าอี้ถึงต้องมี 4 ขา หรือทำไมเราไม่ควรใส่ชุดกันหนาวไปทะเลในเดือนเมษายน
- ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่แท้จริง (Lack of True Originality): AI เก่งในการ “ผสมผสาน” (Remix) สิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่ยังไม่สามารถ “ริเริ่ม” (Originate) แนวคิดใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนจากความต้องการที่ลึกซึ้งของมนุษย์ได้
- ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ (Zero Emotional Intelligence): นี่คือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดครับ AI ไม่สามารถให้กำลังใจเพื่อนร่วมทีมที่กำลังหมดไฟ, ไม่เข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของลูกค้าจากการขมวดคิ้วเล็กน้อย, และไม่สามารถใช้สัญชาตญาณในการตัดสินใจเรื่องที่ละเอียดอ่อนได้
- การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในโลกกายภาพ (Real-World Problem Solving): AI สามารถออกแบบ “แบบแปลน” การสร้างโต๊ะที่สมบูรณ์แบบได้ แต่ถ้าตอนลงมือทำจริง เราเจอไม้ที่บิดงอหรือตาไม้ในจุดที่ไม่คาดคิด… AI ไม่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตรงนั้นได้ครับ มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ทำได้
มันไม่ใช่ “การแทนที่” แต่มันคือ “การเปลี่ยนเครื่องมือ” ครั้งใหญ่
เมื่อเราเข้าใจธรรมชาติของ AI แล้ว เราจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นครับว่าผลกระทบของมันต่องาน ไม่ใช่การที่ AI จะลุกขึ้นมาแล้ว “แทนที่” มนุษย์แบบ 100% แต่เป็นการที่มันจะเข้ามาเป็น “เครื่องมือชิ้นใหม่” ที่ทรงพลังที่สุดในกล่องเครื่องมือของเรา
ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์เรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง:
- โปรแกรม Spreadsheet (อย่าง Excel) ไม่ได้ทำให้ “นักบัญชี” ตกงาน แต่มันเปลี่ยนนักบัญชีจากการเป็น “เครื่องคิดเลขมนุษย์” ที่ต้องบวกเลขทั้งวัน ไปเป็น “นักวิเคราะห์และที่ปรึกษาทางการเงิน” ที่ใช้เวลาไปกับการตีความข้อมูล
- กล้องดิจิทัล ไม่ได้ทำให้ “ช่างภาพ” ตกงาน แต่มันเปลี่ยนช่างภาพจากการเป็น “ผู้เชี่ยวชาญห้องมืด” ไปเป็น “ศิลปินผู้เชี่ยวชาญด้านองค์ประกอบ, แสง, และการแต่งภาพด้วยดิจิทัล”
AI ก็เช่นเดียวกันครับ มันจะเปลี่ยนรูปแบบของงานที่เราทำ จากข้อมูลของ World Economic Forum ในรายงาน “Future of Jobs” ที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง มักจะชี้ไปในทิศทางเดียวกันเสมอคือ แม้จะมีตำแหน่งงานบางประเภทที่ลดน้อยลง แต่ก็จะเกิดตำแหน่งงาน “ประเภทใหม่” ขึ้นมาทดแทนเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะในการ “ทำงานร่วมกับ” เทคโนโลยีใหม่ๆ
ผมขอแบ่งผลกระทบของ AI ต่องานออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ครับ:
- งานที่จะ “ลดน้อยลง” (The Shrinking Roles): คืองานที่เน้นการทำงานซ้ำซากและมีรูปแบบชัดเจน เช่น งานคีย์ข้อมูล, งานแปลเอกสารเบื้องต้น, งานบริการลูกค้าที่ตอบคำถามซ้ำๆ, หรืองานสร้างคอนเทนต์พื้นฐาน
- งานที่จะ “วิวัฒนาการ” (The Evolving Roles): นี่คือกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดครับ อาชีพส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มนี้ นักการตลาด จะไม่ได้คิดแคมเปญเองทั้งหมด แต่จะกลายเป็นคนตั้งโจทย์และ “กำกับ” ให้ AI ช่วยสร้างสรรค์ไอเดีย Developer อย่างผม จะไม่ได้เขียนโค้ดทุกบรรทัดเอง แต่จะกลายเป็น “สถาปนิก” ที่ออกแบบโครงสร้าง แล้วให้ AI ช่วยเขียนโค้ดในส่วนย่อยๆ นักออกแบบ จะไม่ได้วาดภาพร่างแรกเอง แต่จะใช้ AI ช่วยสร้างแรงบันดาลใจนับร้อยแบบในไม่กี่นาที แล้วนำมาขัดเกลาต่อ
- งานที่จะ “เติบโต” (The Growing Roles): คืองานที่ต้องใช้ “ทักษะมนุษย์” ขั้นสูงที่ AI ทดแทนไม่ได้ เช่น นักวางกลยุทธ์ ที่ต้องเข้าใจตลาดและจิตใจมนุษย์, ผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรม AI, นักบำบัดและผู้ดูแล ที่ต้องใช้ความเข้าอกเข้าใจ, ครูและโค้ช ที่ต้องสร้างแรงบันดาลใจ, และแน่นอน…คนที่คอยสร้าง, ควบคุม, และซ่อมบำรุง AI นั่นเองครับ
แล้วเราจะ “ลับคม” ตัวเองยังไง? 3 ทักษะที่ AI แย่งจากเราไม่ได้
เมื่อรู้แล้วว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนไป คำถามต่อไปคือ “แล้วเราจะเตรียมตัวยังไง?” ในโรงไม้ของผม ก่อนจะเริ่มโปรเจกต์ใหม่ ผมต้องแน่ใจว่าเครื่องมือของผม “คม” และพร้อมใช้งานเสมอ ในโลกการทำงานก็เช่นกันครับ นี่คือ 3 ทักษะที่เราต้อง “ลับ” ให้คมอยู่เสมอ
1. เรียนรู้ที่จะเป็น “เพื่อนร่วมทีม” กับ AI (AI Collaboration) ทักษะที่สำคัญที่สุดในอนาคต คือการ “ใช้ AI ให้เป็น” ครับ มันไม่ใช่การแข่งขัน แต่คือการทำงานร่วมกัน เราต้องเปลี่ยนมุมมองจากการเป็น “ผู้สร้าง” มาเป็น “ผู้กำกับ” หรือ “ผู้ควบคุม” เรียนรู้ที่จะตั้งคำถามที่ถูกต้อง (Prompt Engineering), รู้จักเลือกใช้เครื่องมือ AI ที่เหมาะสมกับงาน, และสามารถประเมินผลลัพธ์ที่ AI สร้างขึ้นมาได้
- เปรียบเทียบ: มันไม่ใช่การพยายามวิ่งให้เร็วกว่ารถยนต์ แต่คือการเรียนรู้ที่จะเป็น “นักขับ” ที่เก่งที่สุดนั่นเอง
2. ลงทุนกับ “ทักษะมนุษย์” ให้มากขึ้น (Double Down on Human Skills) ในเมื่อ AI เก่งเรื่องข้อมูลและการคำนวณ เราก็ควรจะหันมาโฟกัสในสิ่งที่เราเก่งกว่ามันอย่างเทียบไม่ติด นั่นคือทักษะที่ผมเคยเล่าไปในซีรีส์ก่อนๆ ครับ:
- การคิดวิเคราะห์เชิงลึก (Critical Thinking): การตั้งคำถามที่ AI คิดไม่ถึง
- ความคิดสร้างสรรค์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Creativity): การเชื่อมโยงไอเดียที่ดูไม่เกี่ยวข้องกัน
- การทำงานร่วมกับผู้อื่น (Collaboration): การสร้างทีมและนำพามนุษย์ด้วยกัน
- ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ): การเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของลูกค้าและเพื่อนร่วมงาน
3. ยอมรับ “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” (Embrace Lifelong Learning) ในฐานะ Developer ผมรู้ดีว่าภาษาโปรแกรมที่ผมใช้คล่องในวันนี้ อีก 5 ปีข้างหน้าอาจจะกลายเป็นของเก่าไปแล้ว โลกเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมาก และ AI จะทำให้มันเร็วขึ้นไปอีก
- เปรียบเทียบ: เราต้องเปลี่ยนตัวเองจาก “ช่างไม้” ที่เชี่ยวชาญเครื่องมือแค่ชนิดเดียว ไปเป็น “เมกเกอร์” ที่พร้อมจะเรียนรู้และทดลองใช้เครื่องมือใหม่ๆ ที่เข้ามาในโรงไม้อยู่เสมอ ความสามารถในการ “เรียนรู้สิ่งใหม่” (Learnability) จะกลายเป็นทักษะที่ล้ำค่าที่สุดครับ
บทสรุป: AI ไม่ใช่คู่แข่ง แต่เป็น “เพื่อนร่วมทีม” ที่เก่งที่สุด (แต่ก็แปลกที่สุด)
ผมขอกลับไปที่คำถามของลูกชายผมในโรงไม้นะครับ “ต่อไปเรายังต้องใช้ฝีมืออีกไหม?”
ผมตอบเขาไปว่า “เราจะต้องใช้ฝีมือ ‘มากกว่าเดิม’ อีกนะลูก แต่ ‘ฝีมือ’ ของเราจะเปลี่ยนไป”
ฝีมือของช่างไม้ในอนาคต อาจจะไม่ใช่แค่การเลื่อยไม้ให้ตรงที่สุด แต่คือความสามารถในการออกแบบ “แบบแปลน” ที่สร้างสรรค์ที่สุดเพื่อให้เครื่อง CNC ทำงาน ฝีมือของนักการตลาดในอนาคต อาจจะไม่ใช่การเขียนแคปชั่นที่เพราะที่สุด แต่คือความสามารถในการตั้ง “โจทย์” ที่เฉียบคมที่สุดเพื่อให้ AI สร้างแคมเปญที่ทรงพลังที่สุด
AI ไม่ได้มาเพื่อ “แทนที่” เราครับเพื่อน แต่มันมาเพื่อ “ขยายขีดความสามารถ” ของเรา มันคือเพื่อนร่วมทีมที่เก่งมาก แต่ก็ไม่มีหัวใจ ไม่มีสัญชาตญาณ และไม่มีความฝัน หน้าที่ของเราในฐานะมนุษย์ คือการเป็น “กัปตันทีม” ที่จะนำทางเพื่อนร่วมทีมคนใหม่นี้ไปในทิศทางที่ถูกต้องและสร้างสรรค์ที่สุดครับ