
ลูกชายผมถามว่า “พ่อครับ AI จะครองโลกไหม?” และนี่คือสิ่งที่ผมเรียนรู้
เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ขณะที่กำลังนั่งดูสารคดีด้วยกัน ลูกชายของผมก็หันมาถามคำถามที่ทำให้ผมต้องหยุดคิดไปชั่วขณะ “พ่อครับ AI จะครองโลกไหม?”
ในใจตอนนั้นสารภาพเลยครับว่าผมก็แอบหวั่นๆ เหมือนกัน ในฐานะพ่อคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ผมเห็นข่าว AI ทำเรื่องน่าทึ่งได้ทุกวัน และลึกๆ ก็อดกังวลไม่ได้ว่าโลกที่ลูกชายผมจะต้องเติบโตไปเจอในอีก 10-20 ปีข้างหน้ามันจะหน้าตาเป็นอย่างไร เขาจะปรับตัวได้ไหม? เขาจะมีความสุขรึเปล่า?
ผมเชื่อว่านี่คือความรู้สึกที่พ่อแม่หลายๆ คนกำลังเผชิญอยู่ บทความนี้จึงไม่ได้เขียนขึ้นในฐานะผู้เชี่ยวชาญ แต่เขียนในฐานะ “เพื่อนพ่อ” คนหนึ่งที่อยากจะมาแบ่งปันการเดินทางในการทำความเข้าใจเรื่องนี้ และมุมมองที่ผมค่อยๆ ตกผลึกได้ เพื่อที่เราจะสามารถเปลี่ยนความกังวลใจ ให้กลายเป็นเข็มทิศนำทางลูกๆ ของเราไปข้างหน้าด้วยกันครับ
Table of Contents
ทำไมเราในฐานะพ่อแม่ถึงกังวลกับ AI? ผมว่ามันเป็นเรื่องปกตินะครับ
ผมลองคุยกับเพื่อนๆ พ่อแม่ด้วยกัน และสังเกตตัวเองดู ก็พอจะสรุปได้ว่าความกังวลของเรามันมาจากความรักและห่วงใยล้วนๆ ครับ
- เพราะเราไม่เข้าใจมันทั้งหมด: เทคโนโลยีมันวิ่งเร็วจนเราตามแทบไม่ทัน การที่เราไม่รู้ว่าเบื้องหลังมันทำงานยังไง ทำให้เรารู้สึกว่ามันควบคุมไม่ได้
- เพราะเรารู้สึกว่าปกป้องลูกได้ยากขึ้น: สมัยเราเป็นเด็ก พ่อแม่ยังพอจะคุมได้ว่าเราจะอ่านหนังสืออะไรหรือดูทีวีรายการไหน แต่สมัยนี้ AI สามารถส่งคอนเทนต์อะไรก็ได้ถึงตัวลูกโดยตรง ทำให้เรารู้สึกว่ากำแพงบ้านมันบางลง
- เพราะเราห่วงอนาคตของเขาจริงๆ: คำถามที่ผมถามตัวเองบ่อยๆ คือ “ทักษะที่โรงเรียนสอนลูกวันนี้ จะยังใช้ได้อยู่ไหมในวันที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่?”
การยอมรับว่าเรารู้สึกแบบนี้เป็นก้าวแรกที่ดีครับ แต่การหยุดอยู่กับความกลัวคงไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับลูกแน่ๆ ผมเลยเริ่มมองหาทางใหม่ และพบว่าสิ่งแรกที่ต้องเปลี่ยน ไม่ใช่ตัวลูกชาย แต่เป็น “บทบาท” ของผมเอง
การค้นพบที่สำคัญ: เปลี่ยนจาก ‘ยามเฝ้าประตู’ มาเป็น ‘เพื่อนร่วมทาง’ ของลูก
ตอนแรกลองผิดลองถูกครับ ผมเริ่มต้นจากการเป็น “ยามเฝ้าประตู” (Guard) ที่เข้มงวด ตั้งกฎเวลาหน้าจอเป๊ะๆ บล็อกบางแอป แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ลูกชายผมก็หาทางแอบเล่นจนได้ และที่แย่กว่านั้นคือ เขารู้สึกว่าเรื่องเทคโนโลยีเป็นเรื่องต้องห้ามที่คุยกับพ่อไม่ได้
ผมเลยเปลี่ยนวิธีใหม่ มาลองเป็น “เพื่อนร่วมทาง” (Guide) ของเขาแทน
ยามเฝ้าประตู จะคอยบอกว่า “ห้ามไปทางนั้น! อันตราย!” เพื่อนร่วมทาง จะบอกว่า “ทางข้างหน้าดูน่าสนใจนะ แต่เรามาดูกันก่อนดีกว่าว่ามีอะไรต้องระวังบ้าง ไปด้วยกันนะ”
บทบาทของเพื่อนร่วมทางคือการเดินไปข้างๆ ลูก สำรวจโลกใบใหม่นี้ไปด้วยกัน ตั้งคำถาม ชวนคุย และสร้างบ้านให้เป็นที่ที่เขากล้าจะเอาเรื่องที่เจอ ทั้งเรื่องดีและไม่ดีในโลกออนไลน์มาเล่าให้เราฟังได้เสมอ
3 แนวคิดที่ผมใช้ที่บ้าน เพื่อสร้าง “พลเมือง AI” ตัวน้อย
การจะเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีได้ ผมพบว่าเราต้องปรับมุมมองของตัวเองก่อน นี่คือ 3 แนวคิดที่บ้านเราพยายามใช้กันอยู่ครับ
1. มอง AI เป็น “สนามเด็กเล่น” ไม่ใช่ “พี่เลี้ยงอัจฉริยะ”
ผมพยายามจะไม่ใช้ AI เป็นพี่เลี้ยงให้ลูกอยู่นิ่งๆ หรือเป็นครูพิเศษที่โยนการบ้านให้ แต่จะมองมันเป็นเหมือน “สนามเด็กเล่นดิจิทัล” ที่เราเข้าไปค้นหาและทดลองอะไรสนุกๆ ด้วยกัน
มีอยู่วันหนึ่ง เราลองใช้ AI สร้างภาพจากคำสั่งแปลกๆ ที่ลูกชายคิดขึ้น “พ่อๆ ลองสั่งว่า ‘นักบินอวกาศกินก๋วยเตี๋ยวบนดวงจันทร์’ สิ” ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะดูตลกๆ เพี้ยนๆ แต่มันทำให้เราได้คุยกันต่อว่า “ทำไม AI ถึงวาดตะเกียบเบี้ยวล่ะลูก?” มันทำให้เขาเรียนรู้โดยไม่รู้ตัวว่า AI ก็ผิดพลาดได้ และเราต่างหากที่เป็นคนควบคุมมัน
2. เปลี่ยนจาก “พ่อต้องรู้ทุกเรื่อง” เป็น “พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน เรามาลองด้วยกันนะ”
การยอมรับว่าเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญคือการปลดล็อกครั้งใหญ่เลยครับ มันทำให้ผมเลิกกดดันตัวเอง และที่สำคัญคือมันเปิดโอกาสให้ลูกได้สอนเราด้วย
ผมจำได้เลยว่ามีครั้งหนึ่งที่ลูกชายมาสอนผมใช้ฟีเจอร์ตัดต่อวิดีโอในแอปฯ ที่ผมไม่เคยใช้มาก่อน แววตาที่เขาภูมิใจที่ได้สอนพ่อนั้นมันมีค่ามากครับ มันทำให้เรื่องเทคโนโลยีกลายเป็นกิจกรรมที่เชื่อมสัมพันธ์ในครอบครัว ไม่ใช่เรื่องที่สร้างความขัดแย้ง
3. ให้ความสำคัญกับ “สิ่งที่ทำให้เราเป็นคน” มากกว่า “สิ่งที่ทำให้เราเหมือนเครื่องจักร”
ท่ามกลางเทคโนโลยีสุดล้ำ ผมพยายามดึงลูกชายกลับมาสู่กิจกรรมที่เรียบง่ายแต่สำคัญที่สุดเสมอ การออกไปเตะบอลจนเหงื่อออก, การนั่งต่อเลโก้ด้วยกันเป็นชั่วโมงๆ, หรือแม้แต่การช่วยกันล้างจาน กิจกรรมเหล่านี้กำลังสอนทักษะที่ AI ไม่มีวันทำได้ นั่นคือ ความอดทน, การทำงานเป็นทีม, ความคิดสร้างสรรค์, และความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น
ผมเชื่อว่าทักษะเหล่านี้ต่างหากที่จะเป็นอาวุธที่แท้จริงของเขาในอนาคต
บทสรุป: จากพ่อคนหนึ่งถึงคุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน
การเลี้ยงลูกในยุคนี้อาจจะท้าทายกว่ายุคไหนๆ ผมเองก็ยังต้องเรียนรู้และปรับตัวทุกวัน แต่ผมก็ค้นพบว่าแก่นของการเป็นพ่อแม่นั้นไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือการมอบความรัก, สร้างความไว้วางใจ, และเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกเสมอ
คำถามที่ลูกชายถามผมวันนั้น “AI จะครองโลกไหม?” ผมตอบเขาไปว่า “พ่อไม่รู้หรอกว่ามันจะครองโลกได้ไหม แต่พ่อรู้ว่ามันจะไม่มีวันครองหัวใจและความคิดที่ดีของลูกได้แน่นอน ตราบใดที่เราเรียนรู้ที่จะใช้มันอย่างฉลาด”
เส้นทางนี้เราไม่ได้เดินคนเดียวครับ เรามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเติบโตไปพร้อมกับลูกๆ ของเราด้วยกันนะครับ
บทความ เลี้ยงลูกให้เก่งกว่า AI