SEO แบบเก่าตายแล้ว? คุยกันเรื่องการทำคอนเทนต์ให้ ‘AI ของ Google’ รักในยุค AI Overviews

SEO แบบเก่าตายแล้ว? คุยกันเรื่องการทำคอนเทนต์ให้ ‘AI ของ Google’ รักในยุค AI Overviews

จำความรู้สึกตอนที่เราค้นหาข้อมูลใน Google เมื่อสัก 5-10 ปีก่อนได้ไหมครับ? มันเหมือนการเดินเข้าไปในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก เราถามคำถามกับ “บรรณารักษ์” (อัลกอริทึมของ Google) แล้วเขาก็จะยื่น “รายการหนังสือ” 10 เล่ม (10 blue links) มาให้เรา แล้วบอกว่า “คำตอบน่าจะอยู่ในเล่มไหนสักเล่มนี่แหละ ลองไปเปิดหาดูเองนะ”

แต่ ณ ปลายปี 2025 ที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้…ห้องสมุดแห่งนั้นได้จ้าง “ผู้ช่วยบรรณารักษ์อัจฉริยะ” คนใหม่เข้ามาทำงานแล้วครับ

ตอนนี้ เมื่อเราถามคำถามเดิม ผู้ช่วยคนใหม่นี้ (ซึ่งก็คือ AI ของ Google) จะไม่แค่ยื่นลิสต์หนังสือมาให้เราอีกต่อไป แต่เขาจะ “วิ่งไปอ่านหนังสือทั้ง 10 เล่มให้เรา แล้วสรุปใจความสำคัญเป็นคำตอบที่ครบถ้วน” มาให้เราที่โต๊ะประชาสัมพันธ์เลย…

คำตอบสรุปที่อยู่บนสุดของหน้าค้นหานั่นแหละครับเพื่อน คือสิ่งที่เรียกว่า “AI Overviews” (หรือชื่อเดิมที่คนในวงการคุ้นเคยคือ SGE – Search Generative Experience) และการมาถึงของมัน ได้เปลี่ยนแปลง “กฎการเล่น” ของโลก SEO ไปอย่างสิ้นเชิง

วันนี้ ในฐานะเพื่อนสาย Developer และ SEO ของคุณ ผมจะมาเล่าให้ฟังว่าเกมใหม่นี้หน้าตาเป็นอย่างไร และเราจะวางกลยุทธ์อย่างไรเพื่อเป็น “หนังสือเล่มโปรด” ที่ผู้ช่วย AI คนใหม่นี้เลือกที่จะหยิบไปอ้างอิงครับ

AI Overviews คืออะไร? ทำความรู้จัก “ผู้ช่วยอัจฉริยะ” คนใหม่ของ Google

พูดง่ายๆ AI Overviews คือความพยายามของ Google ที่จะเปลี่ยนตัวเองจาก “เครื่องมือค้นหา” (Search Engine) ให้กลายเป็น “เครื่องมือให้คำตอบ” (Answer Engine)

แทนที่เราจะต้องคลิกเข้าไปในหลายๆ เว็บไซต์เพื่อปะติดปะต่อข้อมูลเอง AI ของ Google จะทำหน้าที่นั้นแทน โดยการรวบรวมข้อมูลจากหน้าที่ติดอันดับสูงสุดหลายๆ หน้า แล้วนำมาสังเคราะห์ เรียบเรียงใหม่ และนำเสนอเป็นคำตอบสรุปที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย อยู่บนสุดของหน้าผลการค้นหา พร้อมกับมีลิงก์อ้างอิงไปยังเว็บไซต์ต้นทางแปะไว้ให้

ผลกระทบที่น่ากลัว (สำหรับคนทำคอนเทนต์): ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Zero-Click Search” หรือการค้นหาที่ไม่เกิดการคลิกเข้าเว็บไซต์เลย กำลังจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพราะถ้าผู้ใช้ได้คำตอบที่พอใจแล้วจากกล่องสรุปของ AI…เขาจะคลิกเข้ามาอ่านบทความฉบับเต็มในเว็บของเราไปทำไม?

นี่คือความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับคนทำคอนเทนต์และ SEO ในรอบทศวรรษเลยครับ จากข้อมูลที่ Google Search Central Blog ซึ่งเป็นบล็อกทางการของ Google เองได้ให้ข้อมูลไว้ เป้าหมายของพวกเขาคือการมอบ “ประสบการณ์การค้นหาที่เร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด” ให้ผู้ใช้ ซึ่งหมายความว่าเทรนด์นี้จะยังคงอยู่และสำคัญขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน

กฎการเล่นที่เปลี่ยนไป: ทำไมเทคนิค SEO แบบเก่าถึงใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป

เมื่อ “สนามแข่งขัน” เปลี่ยนไป “กฎการเล่น” ก็ต้องเปลี่ยนตามครับ เทคนิค SEO ที่เราเคยท่องจำกันมา บางอย่างก็ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว

แบบเก่า: เน้น “Keyword” (Keyword Density)

  • เคยทำกันอย่างไร: เราพยายามใส่คีย์เวิร์ดหลัก เช่น “โต๊ะไม้โอ๊คราคาถูก” เข้าไปในบทความให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ในจุดต่างๆ ทั้งในหัวข้อ, ในย่อหน้าแรก, ในชื่อรูปภาพ…
  • เปรียบเทียบ: เหมือนการพยายามเรียกความสนใจจากบรรณารักษ์โดยการ “ตะโกน” ชื่อหนังสือเล่มเดิมซ้ำๆ
  • ทำไมตอนนี้ถึงไม่ได้ผล: AI ของ Google ฉลาดเกินกว่าจะถูกหลอกด้วยวิธีนี้แล้วครับ มันไม่ได้แค่นับจำนวนคำ แต่มัน “เข้าใจ” ความหมายและบริบทของทั้งบทความ

แบบใหม่: เน้น “ความเชี่ยวชาญ” (Topical Authority)

  • ต้องทำอย่างไร: แทนที่จะโฟกัสแค่คีย์เวิร์ดเดียว เราต้องสร้างคอนเทนต์ที่ครอบคลุม “ทุกแง่มุม” ของหัวข้อนั้นๆ เพื่อพิสูจน์ให้ AI เห็นว่าเราคือ “ผู้เชี่ยวชาญตัวจริง” ในเรื่อง “โต๊ะไม้โอ๊ค”
  • เปรียบเทียบ: เราต้องพิสูจน์ให้บรรณารักษ์เห็นว่าเราไม่ได้แค่มีหนังสือเรื่อง “โต๊ะไม้โอ๊ค” แต่เรายังมีหนังสือเรื่อง “วิธีเลือกไม้โอ๊ค”, “เทคนิคการเคลือบผิวไม้โอ๊ค”, “ประวัติของโต๊ะสไตล์ต่างๆ” ด้วย… พูดง่ายๆ คือเราเป็นเจ้าของ “โซนเฟอร์นิเจอร์ไม้” ทั้งโซนในห้องสมุดแห่งนี้

แบบเก่า: เน้น “Backlink” เป็นหลัก

  • เคยทำกันอย่างไร: การมีลิงก์จากเว็บไซต์อื่น (Backlink) ชี้กลับมาหาเรา คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการจัดอันดับ เราจึงทุ่มเทกับการสร้าง Backlink จำนวนมาก
  • ทำไมตอนนี้ถึงไม่พอ: Backlink ยังคงสำคัญครับ แต่มันไม่ใช่ “พระเจ้า” อีกต่อไป AI ของ Google รู้ว่าลิงก์จำนวนมากสามารถถูกสร้างขึ้นมาหรือซื้อขายได้

แบบใหม่: เน้น “E-E-A-T” เป็นหัวใจ

  • ต้องทำอย่างไร: Google ให้ความสำคัญกับ E-E-A-T มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งย่อมาจาก:
    • Experience (ประสบการณ์): คุณมีประสบการณ์ตรงในเรื่องที่เล่าจริงหรือไม่?
    • Expertise (ความเชี่ยวชาญ): คุณมีความรู้เชิงลึกในเรื่องนั้นๆ หรือไม่?
    • Authoritativeness (ความน่าเชื่อถือ): คุณเป็นที่ยอมรับในวงการนั้นๆ หรือไม่?
    • Trustworthiness (ความไว้วางใจ): เว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยหรือไม่?
  • เปรียบเทียบ: AI ของ Google ไม่ได้ดูแค่ว่ามีคน “ชี้” มาที่หนังสือของคุณกี่คน แต่จะดูที่ “ประวัติของผู้เขียน” ด้วย ว่าผู้เขียนคนนี้เป็นช่างไม้ตัวจริง, เป็นศาสตราจารย์ด้านป่าไม้, หรือเป็นใครก็ไม่รู้ที่แค่อ่านหนังสือมาเล่าต่อ… ความน่าเชื่อถือของผู้เขียนและเว็บไซต์จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญครับ

แล้วเราจะสร้างคอนเทนต์ให้ “AI รัก” ได้อย่างไร? คู่มือฉบับพ่อสายเมกเกอร์

เมื่อรู้กฎใหม่แล้ว ก็ถึงเวลาวาง “แบบแปลน” การสร้างคอนเทนต์กันใหม่ครับเพื่อน นี่คือ 4 หลักการที่ผมใช้ในการสร้างบทความในซีรีส์นี้ทั้งหมด

1. สร้าง “สารานุกรม” ไม่ใช่แค่ “หน้ากระดาษ” (Build Topic Clusters) นี่คือกลยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในยุคนี้ครับ คือการสร้างคอนเทนต์แบบ “Topic Cluster”

  • มันคืออะไร: แทนที่จะเขียนบทความเดียวจบ ให้เรามองว่าเรากำลังจะเขียน “หนังสือ” ทั้งเล่ม โดยมี “บทความหลัก” (Pillar Page) ที่เป็นเหมือนสารบัญและบทสรุปของเรื่องทั้งหมด แล้วก็มี “บทความย่อย” (Cluster Content) ที่เจาะลึกในแต่ละหัวข้อย่อย แล้วทำลิงก์เชื่อมโยงกันทั้งหมด
  • เปรียบเทียบ: อย่าแค่สร้าง “โต๊ะ” หนึ่งตัว แต่ให้สร้าง “ชุดเฟอร์นิเจอร์ห้องนั่งเล่น” ทั้งชุดครับ โดยมี “โต๊ะกาแฟ” เป็นชิ้นเอก (Pillar Page) แล้วก็มี “โซฟา”, “ชั้นวางทีวี”, “โคมไฟ” (Cluster Content) เป็นชิ้นประกอบ แล้วทำแคตตาล็อกที่เชื่อมโยงทุกชิ้นเข้าด้วยกัน การทำแบบนี้จะแสดงให้ AI เห็นว่าเราเชี่ยวชาญเรื่อง “เฟอร์นิเจอร์ห้องนั่งเล่น” ทั้งหมด ไม่ใช่แค่โต๊ะตัวเดียว

2. เขียนเหมือน “คุยกับเพื่อน” ไม่ใช่ “เขียนให้หุ่นยนต์อ่าน” น่าแปลกแต่จริงครับ…ยิ่ง AI ของ Google พยายามจะคิดเหมือนมนุษย์มากเท่าไหร่ การเขียนแบบ “มนุษย์คุยกัน” ก็ยิ่งได้ผลดีมากขึ้นเท่านั้น

  • ต้องทำอย่างไร: ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ, จัดระเบียบเนื้อหาให้อ่านง่าย, มีหัวข้อย่อยที่ชัดเจน, ตอบคำถามให้ตรงประเด็น และเขียนในสไตล์ที่เป็นตัวของตัวเอง (เหมือนที่ผมกำลังทำอยู่นี่แหละ!) AI ชอบเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้อ่านจริงๆ ครับ

3. “โชว์” ให้เห็น ไม่ใช่แค่ “บอก” (Show, Don’t Tell Your E-E-A-T) การจะสร้าง E-E-A-T ไม่ใช่แค่การเขียนแปะไว้ในหน้า “About Us” ว่าเราเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ต้อง “พิสูจน์” ให้เห็นในเนื้อหาครับ

  • ผมทำอย่างไร: แทนที่ผมจะเขียนว่า “การตั้งรหัสผ่านที่ดีต้องยาวและซับซ้อน” ผมเลือกที่จะเล่าเรื่อง “ประสบการณ์” ตรงในฐานะคนทำงาน Cyber Security, เปรียบเทียบมันกับ “กุญแจห้องนิรภัย”, และแสดงให้เห็นถึง “ความเชี่ยวชาญ” ผ่านการอธิบายเทคนิค “วลีลับ”… เห็นความแตกต่างไหมครับ? เราต้องสอดแทรก “ตัวตน” และ “ประสบการณ์” ของเราเข้าไปในทุกบทความ

4. ติด “ป้ายชื่อ” ให้ข้อมูล (Use Structured Data) นี่เป็นเทคนิคจากฝั่ง Developer ของผมเล็กน้อยครับ แต่มีประโยชน์มาก

  • มันคืออะไร: Structured Data (หรือ Schema Markup) คือ “โค้ด” ชุดหนึ่งที่เราสามารถแปะไว้หลังบ้านของเว็บไซต์ เพื่อ “ติดป้าย” บอก Google AI ว่าข้อมูลส่วนนี้คืออะไร เช่น “นี่คือบทความ”, “นี่คือสูตรอาหาร”, “นี่คือหน้าสินค้า”, หรือ “นี่คือบทความ FAQ”
  • เปรียบเทียบ: มันเหมือนการติด “ป้ายชื่อ” ที่ชัดเจนไว้บนลิ้นชักทุกอันในโรงไม้ของผม ทำให้ผู้ช่วย AI ไม่ต้องเสียเวลาเปิดทุกลิ้นชักเพื่อหาของ เขาสามารถอ่านป้ายแล้วหยิบของที่ต้องการได้ทันที การทำแบบนี้จะช่วยให้ AI เข้าใจเนื้อหาของเราได้เร็วและแม่นยำขึ้นมาก

บทสรุป: SEO ยุคใหม่คือการกลับสู่พื้นฐาน…การเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่ใจดี

เพื่อนๆ ครับ…ถ้าจะให้ผมสรุปการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ในประโยคเดียวก็คือ “ยุคของการ ‘เล่นแร่แปรธาตุ’ กับอัลกอริทึมได้จบลงแล้ว และยุคของการเป็น ‘ผู้เชี่ยวชาญตัวจริง’ ที่ใจดีและพร้อมแบ่งปันได้เริ่มต้นขึ้น”

เป้าหมายของเราไม่ใช่การพยายามหาช่องโหว่เพื่อ “หลอก” AI อีกต่อไป แต่คือการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ดีที่สุด, ครอบคลุมที่สุด, และน่าเชื่อถือที่สุดในหัวข้อที่เราเชี่ยวชาญ จน AI ของ Google ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องหันมาบอกว่า “นี่แหละ! คือแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดในเรื่องนี้”

ซึ่งเอาเข้าจริง…มันก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ เพราะมันกำลังบังคับให้พวกเราทุกคนต้องสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง

ในบทความต่อไป เราจะมาเจาะลึกเทคนิคการสร้าง “สารานุกรม” หรือ Topic Cluster ที่ผมได้เกริ่นไป ด้วยเครื่องมือ AI กันครับ!