
ทำไมเราถึงเห็นแต่โฆษณาของที่เราเพิ่ง “พูดถึง”? มาแอบดูหลังบ้านอัลกอริทึมกัน
คุณผู้อ่านเคยเป็นกันไหมครับ? กำลังนั่งล้อมวงกินหมูกระทะกับเพื่อน คุยกันอย่างออกรสเรื่องอยากได้เต็นท์ใหม่ไปกางบนดอยหน้าหนาว พอแยกย้ายกลับบ้าน หยิบมือถือขึ้นมาไถ Facebook เพื่อย่อยอาหารเท่านั้นแหละ…โฆษณาเต็นท์สารพัดยี่ห้อ, อุปกรณ์แคมป์ปิ้ง, ลานกางเต็นท์วิวสวย ก็เรียงหน้ากันเข้ามาสิงในฟีดอย่างกับนัดกันมา จนขนลุกแล้วอดคิดไม่ได้ว่า “เฮ้ย…มือถือมันดักฟังเราอยู่รึเปล่า?”
ในฐานะคนที่ทำงานทั้งสาย Developer ที่ต้องเขียนโค้ด และสาย Digital Marketing ที่ต้องใช้เครื่องมือพวกนี้หากินทุกวัน ผมโดนเพื่อนๆ และคนรู้จักถามคำถามนี้บ่อยที่สุดในโลกเลยครับ และคำตอบสั้นๆ ที่ผมมักจะให้ก็คือ:
“มันไม่ได้ดักฟัง…แต่มันทำสิ่งที่ซับซ้อนและน่าทึ่ง (หรือน่ากลัว) กว่านั้นเยอะ”
วันนี้ผมเลยอยากจะชวนทุกคนมา “เปิดฝากระโปรง” ของโลกดิจิทัลกันหน่อย ไม่ต้องใช้ศัพท์เทคนิคให้ปวดหัวนะครับ คิดซะว่าผมกำลังจะอธิบาย ‘แบบแปลน’ ของเครื่องจักรที่ซับซ้อนที่สุดในยุคนี้ให้ฟัง เหมือนเวลาที่ผมอธิบายแบบแปลนของงานไม้ชิ้นใหม่ให้เพื่อนๆ ดูนั่นแหละ แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมโฆษณาพวกนี้ถึงรู้จักเราดีกว่าแฟนเราซะอีก และเรื่องนี้มันสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของเรายังไง
จากข้อมูลล่าสุดของ We Are Social และ Meltwater (รายงาน Digital 2024) คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยวันละ 7 ชั่วโมง 58 นาที… ใช่ครับ! เกือบ 8 ชั่วโมง หรือ 1 ใน 3 ของชีวิตเราเลยทีเดียว ทุกๆ คลิก, ทุกการปัดหน้าจอ, ทุกการกดไลค์ มันคือการที่เรากำลัง ‘สร้างข้อมูล’ และ ‘ทิ้งรอยเท้าดิจิทัล’ ให้กับเครื่องจักรที่เรียกว่า ‘อัลกอริทึม’ อย่างไม่รู้ตัว… แล้วรอยเท้าพวกนี้มันถูกนำไปใช้อย่างไรบ้าง? เรามาเริ่มไขปริศนากันเลยดีกว่า
Table of Contents
ไขข้อข้องใจกันก่อน: สรุปว่ามัน “ดักฟัง” เราจริงไหม?
ก่อนจะไปกันต่อ ขอเคลียร์ประเด็นนี้ก่อนเลย… คำตอบคือ “ไม่น่าจะใช่ และไม่จำเป็นเลย” ครับ
ในมุมมองของ Developer อย่างผม การที่บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่อย่าง Meta หรือ Google จะสร้างระบบที่ “ดักฟัง” บทสนทนาของผู้คนหลายพันล้านคนทั่วโลก, ประมวลผลเสียงเหล่านั้นแบบเรียลไทม์, แล้วแปลงมันเป็นข้อมูลเพื่อยิงโฆษณา มันเป็นเรื่องที่:
- สิ้นเปลืองพลังงานและทรัพยากรอย่างมหาศาล: ลองนึกถึงขนาดของ Data Center ที่ต้องใช้เก็บและประมวลผลไฟล์เสียงจำนวนมหาศาลขนาดนั้นดูครับ มันไม่คุ้มค่าเอาซะเลย
- เสี่ยงด้านกฎหมายอย่างยิ่ง: ในยุคที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (อย่าง PDPA บ้านเรา หรือ GDPR ของยุโรป) เข้มแข็งขนาดนี้ การทำแบบนั้นคือการฆ่าตัวตายทางธุรกิจชัดๆ
- ไม่จำเป็นเลย…เพราะพวกเขามีวิธีที่ดีกว่านั้นเยอะ: นี่คือประเด็นสำคัญครับ พวกเขาไม่จำเป็นต้อง “ฟัง” สิ่งที่เราพูด เพราะพวกเขาสามารถ “เห็น” ทุกสิ่งที่เราทำในโลกดิจิทัลอยู่แล้ว ซึ่งมันแม่นยำกว่าการฟังเยอะเลย
ถ้ามันไม่ได้ฟัง แล้วมันรู้ได้ยังไง? มาดู “รอยเท้าดิจิทัล” ที่เราทิ้งไว้กัน

นี่แหละครับคือมายากลที่แท้จริง อัลกอริทึมไม่ได้มีหูทิพย์ แต่มันมี “ตาทิพย์” ที่คอยเก็บข้อมูลจาก “รอยเท้า” ที่เราทิ้งไว้ตลอดเวลา ซึ่งรอยเท้าพวกนี้มีหลายระดับมาก
- รอยเท้าที่ชัดเจนที่สุด (The Obvious Footprints):
- สิ่งที่คุณค้นหา: ทุกคำที่คุณพิมพ์ใน Google Search คือการตะโกนบอกโลกว่า “ฉันกำลังสนใจเรื่องนี้!”
- สิ่งที่คุณดู: ประวัติการดู YouTube ของคุณคือคลังข้อมูลชั้นดีเกี่ยวกับความสนใจของคุณ
- สิ่งที่คุณกดไลค์/แชร์/คอมเมนต์: การมีปฏิสัมพันธ์กับเพจขายเต็นท์, เพจท่องเที่ยว, หรือเพจรีวิวอุปกรณ์แคมป์ปิ้ง คือการยกมือบอกอัลกอริทึมว่า “ฉันอยู่ในกลุ่มเป้าหมายนะ!”
- สิ่งที่คุณซื้อ: ประวัติการซื้อของใน Shopee/Lazada หรือเว็บ E-commerce ต่างๆ
- รอยเท้าที่ซับซ้อนขึ้นมา (The Connected Footprints): นี่แหละครับคือคำตอบของปริศนา “เต็นท์” ของเรา!
- เครือข่ายเพื่อน (Social Graph): อัลกอริทึมรู้ว่าใครคือเพื่อนสนิทของคุณ, ใครคือครอบครัว, ใครคือเพื่อนร่วมงาน มันเห็นว่าคุณไปไหนมาไหนกับใคร (จาก Location Data และการเช็กอิน), คุยกับใครบ่อยๆ ใน Messenger
- การเชื่อมโยงข้ามอุปกรณ์ (Cross-Device Tracking): อัลกอริทึมรู้ว่ามือถือ, แท็บเล็ต, และคอมพิวเตอร์ที่บ้านของคุณคือคนคนเดียวกันที่ใช้งาน
- ตอนที่คุณกำลังคุยเรื่องเต็นท์กับเพื่อนที่ร้านหมูกระทะ เพื่อนของคุณคนหนึ่ง อาจจะหยิบมือถือขึ้นมาค้นหา “เต็นท์ Quechua รุ่นใหม่”
- อัลกอริทึมเห็นว่าเพื่อนของคุณ (คนที่อยู่ในเครือข่ายของคุณ) ค้นหาเรื่องเต็นท์
- อัลกอริทึมยังเห็นอีกว่า มือถือของคุณกับของเพื่อนอยู่ใน “ตำแหน่งเดียวกัน” ในช่วงเวลาเดียวกัน (ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ข้อมูล GPS และ Wi-Fi สาธารณะทำให้ระบุตำแหน่งได้ค่อนข้างแม่นยำ)
- มันจึง “อนุมาน” ด้วยความน่าจะเป็นสูงมากว่า “คนที่อยู่ด้วยกัน มักจะมีความสนใจในเรื่องเดียวกัน” มันเลยตัดสินใจยิงโฆษณาเต็นท์มาให้คุณ “เผื่อ” ว่าคุณจะสนใจด้วย… ซึ่งส่วนใหญ่มันก็เดาถูกเผงเลยใช่ไหมครับ?
- รอยเท้าที่มองไม่เห็น (The Invisible Footprints):
- Metadata: ข้อมูลที่ซ่อนอยู่ในรูปภาพที่คุณโพสต์ เช่น เวลาที่ถ่าย, สถานที่, หรือแม้แต่รุ่นของกล้อง
- พฤติกรรมการไถฟีด: อัลกอริทึมรู้ว่าคุณหยุดดูวิดีโอประเภทไหนนานกว่าปกติ แม้ว่าคุณจะไม่ได้กดไลค์ก็ตาม
- ข้อมูลจากโลกออฟไลน์: ข้อมูลจากบัตรสมาชิกที่คุณใช้ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ บางครั้งก็ถูกนำมาเชื่อมโยงกับโปรไฟล์ออนไลน์ของคุณได้เช่นกัน
อัลกอริทึมก็เหมือน “ผู้ช่วยช่าง” สุดฉลาด (แต่ไม่มีหัวใจ)

ในโรงไม้ของผม ถ้าผมอยากจะสร้างเก้าอี้ที่สมบูรณ์แบบสำหรับลูกค้าคนหนึ่ง ผมต้องรู้ข้อมูลของเขาให้มากที่สุด ทั้งส่วนสูง, น้ำหนัก, สไตล์ที่ชอบ…
อัลกอริทึมก็ทำหน้าที่เหมือน “ผู้ช่วยช่าง” ของผมครับ แต่มันทำงานในสเกลที่ใหญ่กว่าล้านเท่า
- “แบบแปลน” คือโปรไฟล์ลูกค้า: นักการตลาดอย่างผมจะสร้าง “แบบแปลน” ของลูกค้าในอุดมคติขึ้นมา เช่น “ผู้ชาย, อายุ 30-45 ปี, สนใจกิจกรรมกลางแจ้ง, อาศัยในกรุงเทพฯ, มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าออนไลน์”
- “กองไม้” คือข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมด: อัลกอริทึมจะมองไปที่ “กองไม้” ข้อมูลมหาศาลของผู้ใช้งาน Facebook หรือ Google ทั้งหมด
- “การคัดไม้” คือการหา Target Audience: มันจะเริ่ม “คัดไม้” หรือคัดกลุ่มคนที่มีคุณสมบัติตรงตามแบบแปลนที่ผมให้ไว้ เพื่อส่งโฆษณาไปให้
- “ไม้ที่คล้ายกัน” คือ Lookalike Audience: และนี่คือส่วนที่ฉลาดที่สุดครับ มันไม่เพียงแค่หาไม้ที่ตรงตามแบบเป๊ะๆ แต่ยังสามารถหา “ไม้ชนิดอื่นที่มีลายไม้และคุณสมบัติคล้ายๆ กัน” ได้ด้วย หรือที่เรียกว่า Lookalike Audience นั่นคือการหากลุ่มคนใหม่ๆ ที่มีพฤติกรรมคล้ายกับลูกค้าปัจจุบันของเรา ซึ่งนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมบางทีเราถึงเห็นโฆษณาในสิ่งที่เรายังไม่เคยค้นหา แต่เพื่อนของเราสนใจนั่นเอง
สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ ผู้ช่วยช่างคนนี้ “ไม่มีหัวใจ” นะครับ เป้าหมายเดียวของมันคือการทำงานตามแบบแปลนให้สำเร็จ (คือทำให้เราคลิกโฆษณาหรือซื้อของ) มันไม่สนใจเรื่องจริยธรรมหรือความเป็นส่วนตัวของเราเลย
แล้วเราจะทำตัวยังไงใน “โรงไม้” ที่มีกล้องวงจรปิดอัจฉริยะแบบนี้?

พอรู้แบบนี้แล้ว หลายคนอาจจะรู้สึกกลัวจนอยากจะเลิกใช้อินเทอร์เน็ตไปเลย แต่ใจเย็นก่อนครับ มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น การรู้ทันคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดครับ นี่คือสิ่งที่ผมทำและแนะนำเพื่อนๆ เสมอ
- ตระหนัก แต่อย่าตระหนก: ให้เข้าใจว่านี่คือ “ข้อตกลง” ของการใช้แพลตฟอร์มฟรี เราจ่ายค่าบริการด้วย “ข้อมูล” ของเราแทน “เงิน” เมื่อเข้าใจตรงนี้แล้ว เราจะเริ่มมองโฆษณาต่างๆ อย่างมีสติมากขึ้น
- เข้า “ห้องเครื่อง” ไปปรับแต่งซะบ้าง: ทั้ง Google และ Facebook มีหน้า “การตั้งค่าโฆษณา” (Ad Settings) ที่เราสามารถเข้าไปดูได้ว่ามันคิดว่าเราสนใจเรื่องอะไร และเราสามารถลบความสนใจบางอย่างที่เราไม่ต้องการออกไปได้ ลองหาเวลาว่างๆ เข้าไปสำรวจดูครับ มันเหมือนการเข้าไปปรับจูนเครื่องมือของเราเอง
- ใช้เครื่องมือทางเลือกเมื่อต้องการความเป็นส่วนตัว: เวลาที่ผมต้องการค้นหาข้อมูลอะไรที่ละเอียดอ่อน หรือไม่อยากให้มันมามีผลกับโฆษณา ผมก็จะสลับไปใช้เบราว์เซอร์ที่เน้นความเป็นส่วนตัวอย่าง DuckDuckGo หรือ Brave บ้างเป็นครั้งคราว เหมือนการมี “ห้องทำงานส่วนตัว” ที่ไม่มีใครเข้ามายุ่งได้
- เกราะป้องกันที่ดีที่สุดคือ “การคิดวิเคราะห์”: สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าอัลกอริทึมจะฉลาดแค่ไหน คนที่ตัดสินใจควักเงินในกระเป๋าคือ “เรา” เองครับ จงมองทุกโฆษณาและทุกคอนเทนต์ที่ถูกป้อนมาให้เราด้วยสายตาของนักวิเคราะห์ อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่เห็นทันที
บทสรุป: ไม่ต้องกลัวเครื่องมือ แต่ต้องรู้จักมัน
ในฐานะ “เมกเกอร์” ผมไม่เคยกลัวเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างเลื่อยวงเดือนเลยครับ แต่ผม “เคารพ” มัน ผมเรียนรู้วิธีการทำงานของมัน, รู้ถึงอันตราย, และรู้วิธีใช้มันอย่างปลอดภัย
อัลกอริทึมก็คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในยุคของเราครับ เราไม่จำเป็นต้องกลัวมัน แต่เราจำเป็นต้อง “รู้จัก” มันให้ดีพอ เพื่อที่เราจะสามารถควบคุมมันได้ ไม่ใช่ให้มันมาควบคุมเรา
หวังว่าที่เล่ามาทั้งหมดจะพอทำให้คุณผู้อ่านหายข้องใจกันบ้างนะครับ ว่ามือถือมันไม่ได้ดักฟังเรา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงมันซับซ้อนและน่าสนใจกว่านั้นเยอะเลย!