เคยใช้งานฟีเจอร์ Storoies บน Instagram หรือ Facebook แล้วรู้สึกว่าอยากทำสิ่งนี้บนเว็บไซต์ของตัวเองได้บ้างหรือเปล่าครับ? ถ้าใช่ล่ะก็ วันนี้ Google ได้สร้างเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า “Web Stories” มาให้เรา ๆ ได้ใช้กันแล้ว โดยเจ้าฟีเจอร์ที่ว่านี้ เราสามารถสร้าง Stories บนเว็บไซต์ของตัวเอง และยังทำให้ไปโลดแล่นอยู่บน Search Result ได้ด้วย
Table of Contents
Google Web Stories คืออะไร?
Google Web Stories เป็นตัวอัปเกรดของเทคโนโลยีเดิมที่ชื่อว่า Accelerated Mobile Pages (AMP) ซึ่งเจ้า Google Web Stories นี้จะเหมาะสำหรับคนที่ชอบดูคอนเทนต์ประเภท Visual มากกว่าอ่านตัวอักษร ด้วยความที่มันสามารถแสดงคอนเทนต์ได้อย่างรวดเร็วบนโทรศัพท์มือถือ และคอนเทนต์นั้นไม่ได้จำกัดเพียงแค่รูปเท่านั้น สื่อประเภทอื่นก็สามารถใช้งานใน Web Stories ได้เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น
- รูป (Image) ใช้ขนาดภาพ 828 x 1,792 และเป็นลักษณะแนวตั้ง
- ตัวอักษร (Text) ใช้ฟอนต์ ขนาด 24 pt ขึ้นไป เพื่อทำให้อ่านในโทรศัพท์มือถือได้ง่าย
- วีดีโอ (Video) เป็นแนวตั้งและถ่ายด้วยกล้องคุณภาพดี ระดับ 480p และมีเฟรมเรทอย่างน้อย 24 เฟรมต่อวินาที
- อื่น ๆ เช่น ภาพสกุล GIF หรือไฟล์เสียง
จากบทความนี้ของ “Best practices for creating a successful Web Story” ทาง Google ได้แนะนำว่า
- ให้มีความยาวของชื่อ Stories ไม่เกิน 10 คำ หรือน้อยกว่า 40 ตัวอักษร
- Video ความยาวต่ำกว่า 15 วินาที
- ความยาวของ Stories สักประมาณ 10 – 20 หน้า
- มีตัวอักษรประมาณ 10 คำในหนึ่งหน้า
- ทำหน้า Cover Page ให้เจ๋งที่สุดจะได้ดึงดูดความสนใจ
เหมาะกับคอนเทนต์ประเภทไหน
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบทำคอนเทนต์ที่สนุก ดูง่ายบนมือถือ ออกแบบได้ไม่น่าเบื่อ Web Stories น่าจะเหมาะกับคุณมากกว่าการเขียนคอนเทนต์เป็นบทความปกติ แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น โดยคอนเทนต์ส่วนใหญ่จะต้องจัดให้อยู่ในแนวตั้งเท่านั้น ไม่สามารถที่จะใช้แนวนอนได้ แม้แต้วิดีโอเองก็ยังต้องปรับให้เป็นแบบแนวตั้งเท่านั้น แต่ข้อจำกัดที่ว่านี้ก็เป็นข้อจำกัดแบบเดียวกับฟีเจอร์ Stories บนเฟสบุ๊กหรืออินสตาแกรม ซึ่งมีข้อดี คือ คอนเทนต์ประเภท Creative โชว์รูปสวย ๆ ดีไซน์เก๋ ๆ หรือจะเป็นพวกรีวิวอาหาร รีวิวไอเท็มต่าง ๆ อัลบั้มรูปนักแสดงที่คุณชื่นชอบ คอนเทนต์ประเภทนี้ หากมาอยู่ใน Google Web Stories ก็จะดูดีไม่น้อยเลยทีเดียว
ข้อได้เปรียบของ Google Web Stories เทียบกับ Instagram และ Facebook Stories
Google Web Stories มีความเหนือกว่าตรงที่ฟีเจอร์นี้อยู่บนเว็บไซต์ของเราเอง ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เราสามารถควบคุมได้เองโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการขออนุญาตก่อนลง การโดนถอดถอน หรือการที่มีกฎเกณฑ์อื่นใดมาบังคับ หรือเรียกว่า Owned Media ย่อมดีกว่า รวมถึงถ้าหากมีคนเข้ามาที่แพลตฟอร์มที่เราเป็นเจ้าของเองมากๆ และเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ จะส่งผลให้สัญญาณทางด้าน SEO ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก โอกาสที่จะขึ้นหน้าแรก ๆ บน Google ก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้น เปรียบเทียบกับการที่เราไปสร้าง Stories บนแพลตฟอร์มของคนอื่นอย่างเฟสบุ๊กหรืออินสตาแกรม ต่อให้ทำดีแค่ไหน โอกาสที่เราจะได้ Traffic มายังเว็บไซต์ของเราก็น้อยกว่าอยู่ดี แต่ถึงอย่างไรก็ตาม Web Stories ก็อาจทำให้เราเสียโอกาสทางด้านจำนวนของผู้เห็นผลงาน หรือที่ศัพท์การตลาดเรียกว่า “Impressions” ไป เนื่องจากจำนวนผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มที่เป็น Social Media ย่อมเยอะกว่าบนเว็บไซต์อยู่แล้วในเชิงเปรียบเทียบด้วยจำนวน
เริ่มใช้งาน Google Web Stories อย่างไร
ณ วันที่ 22 ตุลาคม 2563 Google Web Stories ยังเป็น Beta version อยู่ นั่นหมายความว่ายังมี Bug หรือข้อผิดผลาดหลาย ๆ อย่าง อ้างอิงจากข้อมูลที่ https://stories.google/create/ การสร้าง Web Stories มีอยู่หลายวิธี ประกอบด้วย วิธีที่ทำจาก WordPress Plugin ในฟังก์ชันที่มีชื่อว่า Web Stories จะใช้งานผ่าน New Room AI และ MakeStories ก็ได้ หรือแม้กระทั่งถ้าหากใครฮาร์ดคอร์มาก ๆ ก็สามารถเดปฯ ขึ้นมาเอง โดยการอ้างถึง Developer Document ได้เลย ส่วนนี้สุดแท้แต่ความถนัดส่วนบุคคล ส่วนตัวผมเองจะใช้ปลั๊กอินของ WordPress เป็นหลัก แต่เอาจริง ๆ เจ้าตัว MakeStories เองก็สามารถทำปลั๊กอินที่ชื่อว่า MakeStories Helper ขึ้นมาได้เหมือนกัน เพียงแต่ตัว MakeStories นั้นต้อง สมัครสมาชิกก่อนใช้
Update ล่า สุด version 1.18.0 แล้ว อย่าลืมไป update กันนะครับ

Install Web Stories WordPress Plugin
- Login เข้าสู่ wordpress admin
- Install Plugin
- พิมพ์คำว่า “Web stories” ในช่อง Search
- กดปุ่ม “Install Now”
- เสร็จแล้วกดปุ่ม “Activate”
- จากนั้นจะมีเมนู Stories เพิ่มขึ้นมาที่เมนู Admin
- คลิกเมนู Stories และเลือก Dashboard
- เมื่อเข้าสู่หน้าหลัก ให้เลือก “Create New Story”
- ที่เมนูซ้ายบนจะมีไอคอนอยู่ ประกอบไปด้วย อัปโหลดไฟล์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือจะใส่รูปภาพหรือวีดีโอฟรีที่มีอยู่ในคลังของ Unsplash ก็ได้ ซึ่งก็มีให้เลือกใช้เยอะมากจริง ๆ ไอคอนต่อมาคือการใส่ข้อความต่าง ๆ และสุดท้ายคือการใส่รูปทรงเรขาคณิตต่าง ๆ เช่น สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม หรือรูปทรงแปลก ๆ ก็มี
เริ่มใช้งาน Web Stories WordPress Plugin
ใส่รูปภาพ
- เลือกเมนูใส่รูปภาพฟรี และเลือก “Images”
- หารูปที่ถูกใจ ลากและวางลงไปใน Canvas เปล่า ๆ ที่สร้างขึ้น
- ปรับขนาดให้สวยงาม
- ถ้าอยากให้รูปนั้นเป็น Background ก็ให้เลือกที่รูป แล้วไปที่เครื่องมือด้านขวามือ เลือก “Set as Background”
- รูปที่คุณเลือกจะกลายเป็น Background สวยงามเต็มฉากหลังทันที
ใส่ตัวอักษร
- เลือกเมนูใส่ตัวอักษร ตรงไอคอนรูปตัว T
- เลือกรูปแบบของตัวอักษรที่ต้องการ อย่าลืมว่าตัวอักษรขนาดที่เล็กที่สุดจะต้องไม่ต่ำกว่า 24 pt
- สามารถปรับแต่งขนาดตัวอักษร สี หรืออื่น ๆ ได้จากเครื่องมือด้านขวามือเหมือนเดิม
ใส่รูปทรง
- เลือกเมนูใส่รูปทรง และเลือกรูปทรงที่ต้องการ
- สามารถปรับแต่งค่าต่าง ๆ ได้ทางเครื่องมือด้านขวามือ แต่รูปทรงจะปรับแต่งอะไรได้ไม่ค่อยมาก สามารถปรับได้แค่สี ตำแหน่ง และอื่น ๆ อีกเล็กน้อย
ดูผลงานของเรากันหน่อย
หลังจากที่เราออกแบบกันอย่างสนุกสนานแล้ว ก็ถึงเวลาดูผลงานของเราว่าออกมาสวยงามแค่ไหน ด้วยวิธีง่าย ๆ เพียงแค่กดปุ่ม “Preview” ที่เมนูขวามือด้านบน แค่นี้ก็สามารถที่แสดงผลงานที่เราทำมาได้แล้ว
ส่งผลงานให้คนอื่นดู
เมื่อสิ่งที่ทำมาขั้นต้นเป็นที่น่าพอใจ อยากจะส่งให้เพื่อน ๆ ดูกันแล้ว ก่อนอื่นจะต้องใส่ข้อมูล Publisher Logo, Cover Image, Excerpt และ Permalink ให้ครบเสียก่อนนะครับ โดยที่ตัว Permalink จะเป็น URL ที่เราจะนำไปวางไว้ที่ต่าง ๆ แชร์ให้เพื่อน ๆ ดู อันนี้เป็นส่วนที่สำคัญมาก
ขั้นตอนการทดสอบ
เมื่อกดปุ่ม Publish ไปแล้ว ระบบจะทำการสร้าง URL ที่เราใส่เอาไว้ใน Permalink ซึ่งจะต่อท้ายด้วย /web-stories/ โดยอัตโนัมติ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า Stories ของเรามันใช้งานได้จริง เราก็ต้องทำการทดสอบด้วยเครื่องมือของ Google เอง นั่นก็คือ AMP Test เพียงเอา URL ที่ได้มาเข้าไปวางที่ช่อง URL และกด “TEST URL” เท่านั้นก็จะได้ผลการทดสอบออกมา อันนี้เป็น Web Stories ที่ผมลองทำไว้นะครับลองเข้าไปดูได้ที่ เริ่มทำ SEO อย่างไรให้ประสบความสำเร็จ
ถ้าเขียว ๆ แบบนี้ก็สบายใจได้เลยว่าผ่านแน่นอน
เลือกใช้ Template
ถ้าหากใครไม่ถนัดทำเองใหม่ตั้งแต่ต้นล่ะก็ เจ้าปลั๊กอินตัวนี้มี Templates มาให้เหมือนกันครับ แต่ยังมีให้เลือกไม่กี่แบบ เพราะตอนนี้ (ณ วันที่ 13 ตุลาคม 2020) ฟีเจอร์นี้ยังเป็นเพียง Beta version หรือรุ่นทดลองอยู่
สุดท้ายนี้ Google Web Stories ก็ถือว่าเป็นอีกเครื่องมือที่จะทำให้คุณได้นำเสนอคอนเทนต์ในรูปแบบใหม่ ๆ ที่สามารถทำได้บนแพลตฟอร์มของคุณเองอย่างอิสระ ถ้าใครสนใจก็สามารถทดสอบได้เลยครับเป็น โอกาสที่น่าสนใจไม่น้อย แถมยังฟรีอีกด้วย แล้วพบกันใหม่ครับ
สามารถติดตามบทความดี ๆ ที่เขียนขึ้นมาจากประสบการณ์จริงได้ในเว็บไซต์ของเรา anatobom.com/blog ทีจะ update เรื่อย ๆ อย่าลืมติดตามกันนะครับ