ผมอยากเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาครับ ลูกชายผมเล่น Sudoku สนุกสนาน เขียนแล้วลบ เขียนแล้วลบหลายสิบครั้ง และทันใดนั้น เขาก็โมโหขึ้นมาคาดว่าน่าจะลองแล้วลองอีกไม่ได้ซักที แล้วก็โวยวายขึ้นมา บ่นกับ Sudoku ดังลั่น “อะไรกัน นักหนา!”
ในวินาทีแรก ผมยอมรับว่ารู้สึกโกรธและอยากจะเดินเข้าไปต่อว่าเขา แต่ผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่านี่คือ “โอกาสทอง” ที่จะสอนบทเรียนที่สำคัญที่สุดบทหนึ่งให้กับเขา บทเรียนที่แม้แต่ AI ที่ฉลาดที่สุดในโลกก็ไม่สามารถเข้าใจได้ นั่นคือเรื่องของ “ความฉลาดทางอารมณ์” หรือ EQ ครับ
ในยุคที่ IQ อาจถูกท้าทายโดยปัญญาประดิษฐ์ ผมกลับเชื่อว่า EQ นี่แหละครับ คือสิ่งที่จะทำให้ลูกหลานของเรายังคงเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และประสบความสำเร็จในแบบของตัวเองได้ วันนี้ผมเลยอยากมาแชร์มุมมองและวิธีที่บ้านเราใช้ฝึกฝนเรื่องนี้กันครับ
Table of Contents
EQ คืออะไร? ผมอธิบายให้ตัวเองและลูกชายฟังแบบนี้
ผมไม่ได้ใช้คำศัพท์ยากๆ เลยครับ ผมแค่อธิบายว่า EQ คือ “พลังวิเศษ” ที่ทำให้เรา:
- เข้าใจอารมณ์ของตัวเอง: รู้ว่าตอนนี้เรารู้สึกอะไร (โกรธ, เสียใจ, ดีใจ) และทำไมเราถึงรู้สึกแบบนั้น
- จัดการอารมณ์ของตัวเองได้: เมื่อรู้ว่าโกรธแล้ว เราจะเลือกทำอะไรต่อไป จะปาของ หรือจะลองหายใจลึกๆ
- เข้าใจอารมณ์ของคนอื่น: สังเกตเห็นว่าเพื่อนกำลังเสียใจนะ หรือคุณแม่กำลังเหนื่อยนะ
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น: เมื่อเราเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น เราก็จะรู้ว่าควรจะพูดหรือทำตัวกับเขายังไง
AI อาจจะวิเคราะห์ “ข้อมูล” เกี่ยวกับอารมณ์ของมนุษย์ได้เป็นล้านๆ ชุด แต่ AI ไม่เคย “รู้สึก” โกรธจริงๆ ไม่เคย “รู้สึก” ผิดหวังจริงๆ และไม่เคย “รู้สึก” เห็นใจใครจริงๆ นี่คือจุดแข็งที่สุดของเราครับ
จากเหตุการณ์ “เขียนแล้วลบไม่เลิก” สู่บทเรียนเรื่อง EQ ของบ้านเรา
หลังจากที่ปล่อยให้ลูกชายได้อยู่กับตัวเองสักพัก ผมก็เข้าไปหาเขาในห้อง แล้วบทสนทนาของเราก็เริ่มต้นขึ้น นี่คือขั้นตอนที่ผมใช้ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจจะลองนำไปปรับใช้ได้นะครับ
ขั้นตอนที่ 1: ยอมรับและเรียกชื่ออารมณ์ (Acknowledge & Name the Feeling)
ผมไม่ได้เริ่มต้นด้วยการตำหนิ แต่เริ่มต้นด้วยความเข้าใจ “พ่อรู้ว่าลูกกำลังโกรธและเสียใจมากๆ ที่กำลังจะแพ้ใช่ไหม” การช่วย “เรียกชื่อ” อารมณ์ที่เขากำลังรู้สึกอยู่ จะทำให้เขารู้สึกว่ามีคนเข้าใจ และอารมณ์ที่พลุ่งพล่านนั้นจะค่อยๆ สงบลง
ขั้นตอนที่ 2: สร้างความเข้าอกเข้าใจ (Show Empathy)
ผมเล่าเรื่องของผมให้เขาฟัง “พ่อก็เคยเป็นนะ ตอนเด็กๆ เวลาพ่อแพ้เกมฟุตบอล พ่อก็เคยโมโหจนเตะบอลอัดกำแพงเลย มันรู้สึกแย่มากๆ เลยเนอะ” การแชร์ประสบการณ์ที่คล้ายกันทำให้เขารู้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ และความรู้สึกโมโหไม่ใช่เรื่องผิด
ขั้นตอนที่ 3: ชวนคิดถึงทางออก (Explore Solutions)
เมื่อเขาใจเย็นลงแล้ว ผมก็ชวนคุยต่อ “คราวหน้าถ้าเรารู้สึกว่าจะแพ้อีก เราจะทำอะไรได้บ้างนะ นอกจากการปัดกระดานทิ้ง?” เราช่วยกันคิดทางออก เช่น ขอเวลานอกไปสงบสติอารมณ์, บอกคนอื่นว่า “ตอนนี้เราเริ่มรู้สึกไม่ดีแล้ว”, หรือแม้แต่การเรียนรู้ที่จะพูดว่า “ยินดีด้วยนะ” กับผู้ชนะ
ขั้นตอนที่ 4: สอนเรื่องผลกระทบต่อผู้อื่น (Discuss the Impact)
สุดท้าย ผมก็ค่อยๆ สอนเขาเรื่องความรู้สึกของคนอื่น “ตอนที่ลูกปัดกระดาน พ่อกับแม่รู้สึกเสียใจนะ เพราะเรากำลังเล่นสนุกด้วยกันอยู่ดีๆ” นี่คือการสอนให้เขาเริ่มมองเห็นว่าการกระทำของเราส่งผลต่อความรู้สึกของคนรอบข้างอย่างไร
บทสนทนาวันนั้นใช้เวลาไม่นานครับ แต่มันคือบทเรียนเรื่อง EQ ที่มีค่ามากกว่าการสอนสั่งเป็นร้อยครั้ง
กิจกรรมง่ายๆ ในชีวิตประจำวันเพื่อสร้าง EQ
- อ่านนิทาน/ดูหนังด้วยกัน: นี่คือเครื่องมือที่ดีที่สุดครับ ลองหยุดถามเป็นระยะๆ ว่า “ลูกคิดว่าตอนนี้เจ้าหญิงรู้สึกยังไงนะ?” “ถ้าเป็นลูก ลูกจะทำยังไง?”
- สร้าง “พจนานุกรมอารมณ์”: สอนให้ลูกรู้จักคำศัพท์เกี่ยวกับอารมณ์ที่หลากหลายกว่าแค่ ดีใจ, เสียใจ, โกรธ เช่น ผิดหวัง, กังวล, ตื่นเต้น, ภูมิใจ
- เป็นแบบอย่างที่ดี: วิธีที่ดีที่สุดในการสอน EQ คือการแสดงให้ลูกเห็น เมื่อเราทำผิดพลาด เราก็กล่าวคำว่า “ขอโทษ” เมื่อเราหงุดหงิด เราก็บอกว่า “ตอนนี้พ่อกำลังรู้สึกไม่ค่อยดี ขอเวลาแป๊บนึงนะ”
บทสรุป: ทักษะที่ทำให้เราเป็นมนุษย์
ในโลกที่กำลังหมุนไปอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยี การหยุดและใส่ใจกับ “ความรู้สึก” ของกันและกันอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่เสียเวลา แต่ผมเชื่อว่านี่คือการลงทุนที่สำคัญที่สุดครับ เด็กที่เติบโตมาพร้อมกับ EQ ที่ดี จะเป็นเด็กที่มีความสุข, สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรง, และพร้อมที่จะรับมือกับทุกความท้าทายในชีวิตได้อย่างแน่นอน… เก่งกว่าที่ AI จะทำได้เสมอครับ
